ค้นหา
ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)

ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)

จากแนวคิดที่ว่า การจัดการโลจิสติกส์ เป็นการไหลของวัสดุและสินค้าที่เป็นเชิงกายภาพ ซึ่งไหลจากฝั่งต้นน้ำ หรือ  ซัพพลายเออร์ในการผลิตไปยังฝั่งปลายน้ำหรือลูกค้า ซึ่งจะมีความแตกต่าง การจัดการโซอุปทาน ซึ่งจะเน้นในการไหลของสารสนเทศซึ่งเป็นข้อมูลที่มักจะเป็นการไหลย้อนกลับ โดยหลังจากที่มีการรับสินค้าจากลูกค้าในแต่ละช่วง เพื่อเป็นการทำให้เกิดความรวดเร็วในการดำเนินงาน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างโลจิสติกส์และการจัดการโซ่อุปทานในส่วนซัพพลายเออร์ จะพบว่าดำเนินของทุกกิจกรรมนั้นจะต้องประสานงานอย่างสอดคล้อง โดยโลจิสติกส์แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การจัดการเพื่อสนับสนุนการจัดการวัสดุ และ สนับสนุนการตลาดและการกระจายสินค้า การไหลของวัตดุดิบผ่านการผลิตจนถึงการกระจายสินค้าสำเร็จรูปผ่านไปยังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จะสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเมื่อมีการนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมทั้งภายในองค์กรและเชื่อมต่อกับบริษัทภายนอกเพื่อสร้างความถูกต้องและรวดเร็วเรียกว่า การจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งก่อนที่จะใช้การจัดการโซ่อุปทานได้ ควรต้องปรับปรุง กลยุทธ์ในการจัดการโซ่อุปทาน เพื่อจัดการระบบโลจิสติกส์ในของแต่ละบริษัทที่เกี่ยวข้องในตลอดโซ่อุปทาน ให้มีประสิทธิภาพก่อนจึงจะทำให้ผลการดำเนินการตลอดโซ่อุปทานมีประสิทธิผล

Suply Chain Management

1.การใช้กลยุทธ์โซ่อุปทานหลายราย (Many suppliers)

เป็นการซื้อวัตถุดิบหรืออุปกรณ์การผลิตจากผู้ขายหลายราย ด้วยกลยุทธ์นี้ซัพพลายเออร์การผลิตจะตอบสนองความต้องการและลักษณะเฉพาะของบริษัท โดยที่จะทำใบแจ้งราคาและเงื่อนไขที่จะขายสินค้า โดยปกติผู้ซื้อจะทำการสั่งซื้อสินค้าให้กับผู้ให้ราคาที่ต่ำกว่า กลยุทธ์นี้จะใช้วิธีให้ซัพพลายเออร์การผลิตแข่งขันเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ซื้อเป็นกลยุทธ์การแข่งขันเชิงรุกของซัพพลายเออร์การผลิต

2.กลยุทธ์การใช้ซัพพลายเออร์การผลิตน้อยราย (Few supplier) 

เป็นการติดต่อซื้อปัจจัยการผลิตกับผู้ขายจำนวนน้อยราย กลยุทธ์นี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับซัพพลายเออร์การผลิตเพียง 2-3 ราย การใช้ซัพพลายเออร์การผลิตจำนวนน้อยรายนี้จะสามารถสร้างคุณค่าได้ โดยยอมให้ซัพพลายเออร์การผลิตมีการผลิตที่ประหยัด (Economies of scale) คือการบริหารต้นทุนแปรผันโดยตรงที่สัมพันธ์กับการเพิ่มประมาณของผลผลิต

3.การบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical integration) 

เป็นการพัฒนาความสามารถที่จะผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น ปัจจัยการผลิตหรือการจัดจำหน่าย เป็นกลยุทธ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตปัจจัยนำเช้า (Input) สู่กระบวนการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปและจำหน่ายสู่ตลาด 

4.เครือข่ายไคเร็ตสุ (Keiretsu networks) 

เป็นภาษาญี่ปุ่นใช้เพื่อบรรยายถึงซัพพลายเออร์การผลิตซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือของบริษัท หรือ เป็นแนวคิดในการประกอบธุรกิจ วึ่งเป็นการรวมตัวทางธุรกิจในลักษณะ 3 ประการดังต่อไปนี้ 
  • การรวมตัวกันในแนวนอน (Horizontal Keiretsu)
  • การรวมตัวในแนวดิ่ง (Vertical Keiretsu)
  • การรวมตัวในด้านการจัดการขนย้ายสินค้าเพื่อการจัดจำหน่าย (Distribution Keiretsu)

5.บริษัทเสมือนจริง (Virtual companies)

เป็นบริษัทที่ดำเนินการผ่านอินเตอร์เน็ต ในรูปของตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketplace) ซึ่งขึ้นอยู่กับซัพพลายเออร์การผลิตหลายราย ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ด้วยการจัดหาสินค้า หรือบริการตามความต้องการของลูกค้า หรือ บริษัทอื่น ซึ่งอาจจะรู้จักกันดีในลักษณะบริษัทเครือข่าย (Network companies) การมีลักษณะธุรกิจแบบนี้เพื่อขจัดปัญหาจากข้อจำกัดของการบูรณาการในแนวดิ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องตามความเชี่ยวชาญ โดยอาจจะต้องมีการบูรณาการในแนวดิ่ง ซึ่งทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น และบริษัทจะมีแผนกหรือฝ่ายในการผลิตสิ่งต่างๆ ของตนเองมากขึ้น และอาจจะสายการบังคับบัญชามากเกินไป ดังนั้นการบูรณาการในแนวดิ่งอาจจะทำให้องค์กรเข้าสู่ธุรกิจยุ่งยากหรือไม่สามารถจัดการได้ดี เพื่อแก้ปัญหาอาจทำได้โดยการหาซัพพลายเออร์การผลิตที่ดีพร้อมทั้งมีความยืดหยุ่นในทางธุรกิจ

ที่มา: www.iok2u.com

แชร์บทความ หรือข่าวสาร

Facebook
Line
Mail