บริษัทตกแต่งภายใน บริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน รับเหมาตกแต่งภายใน ในประเทศไทย

กระบวนการออกแบบตกแต่งภายใน

1. ขั้นตอนการให้คำปรึกษาและขอข้อมูล

เป็นขั้นตอนแรกของบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน ในการให้บริการลูกค้า คือ การให้คำปรึกษาและขอข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบโครงการระหว่างลูกค้าและนักออกแบบ โดยมีการพบปะพูดคุยกันมากกว่า 1 ครั้ง เพื่อทำการปรับความเข้าใจตามโครงสร้างต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการเพื่อให้ทราบถึงการออกแบบตกแต่งภายในอย่างละเอียด และสรุปวัตถุประสงค์ของงานตามความต้องการขั้นต้นให้ตรงกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะใช้สำหรับพิจารณาความสามารถ ความน่าเชื่อถือ ของนักออกแบบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถทำงานร่วมกันได้ออกมาตรงกับความต้องการหรือไม่ และสำหรับนักออกแบบก็จะใช้ขั้นตอนนี้ในการพิจารณาการรับงานของลูกค้าด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วในขั้นของการให้คำปรึกษาและขอข้อมูลนักออกแบบจะไม่คิดค่าบริการในการให้คำปรึกษา แต่หากมีค่าบริการก็จะคิดในราคาที่ไม่สูงมากนัก นั่นก็เพื่อต้องการที่จะลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับทางลูกค้า โดยอาจมีการสอบถามและตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในการขอคำปรึกษากับนักออกแบบเสียก่อนที่จะมีการพบปะพูดคุยกัน ซึ่งในส่วนนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบเพื่อวางแผนงานหรือประเมินค่าใช้จ่าย

2. ขั้นตอนการวางผังและนำเสนอแนวคิดเพื่อการออกแบบขั้นต้น

เป็นขั้นตอนของบริษัทตกแต่งภายในจะทำการวางแนวความคิดในการออกแบบคร่าวๆ ให้กับทางลูกค้าพิจารณา รวมทั้งแบ่งพื้นที่ใช้สอยหรือวางผังพื้นที่ใช้สอยให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสม ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีรูปแบบในการนำเสนอ โดยการนำเอาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งภายใน หรือนิตยสารเกี่ยวกับการตกแต่งภายในต่างๆ ให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้ทราบรูปแบบโดยรวมและแนวทางของงานที่จะถูกพัฒนาต่อไป และช่วยในการตัดสินใจอีกด้วย

3. ขั้นตอนในการพัฒนาแบบร่างขั้นต้น

เป็นขั้นตอนที่นักออกแบบจะนำแนวความคิดในการออกแบบ และผังพื้นที่ในการใช้สอย ที่ได้ผ่านการอนุมัติจากลูกค้ามาแล้ว มาพัฒนาเป็น แบบร่างอย่างง่ายๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดจินตภาพได้ว่างานออกแบบทั้งหมดจะออกมาเป็นอย่างไร โดยสามารถเลือกรูปแบบนำเสนอได้ในรูปแบบที่หลากหลาย ได้แก่ Sketch หรือ Perspective หรือ Model เป็นต้น ซึ่งในขั้นตอนการพัฒนาแบบร่างขั้นต้นนี้ ลูกค้าจะสามารถขอปรับหรือแก้ไขรูปแบบของงานได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกำหนดของแต่ละบริษัท เช่น จำนวนในการขอปรับแก้นั้นสามารถทำได้ไม่เกิน 2 ครั้ง รวมทั้งไม่ปรับแก้จนผิดไปจากผังและรูปแบบที่ได้ถูกวางเอาไว้มากจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้งานยืดเยื้อ และส่งผลให้เสร็จไม่ทันในระยะเวลาที่กำหนด

4. ขั้นตอนในการพัฒนาแบบร่างขั้นสุดท้าย

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นักออกแบบจะนำแบบร่างขั้นต้นมาพัฒนาต่อ เพื่อทำการนำเสนอลูกค้าให้มีความใกล้เคียงกับผลงานออกแบบจริงมากที่สุด โดยที่ส่วนมากมักใช้รูปแบบการนำเสนอแบบภาพ Perspective และรูปแบบ Model ที่มีความเสมือนจริง เพื่อให้ลูกค้าเกิดการจินตภาพที่ชัดเจนในของงานออกแบบทั้งหมด เนื่องจากแบบร่างขั้นสุดท้ายนี้เป็นแบบร่างที่ได้ผ่านการอนุมัติจากแบบร่างขั้นต้นมาแล้ว ลูกค้าจึงสามารถขอปรับแก้ไขแบบร่างได้เพียงเล็กน้อยในส่วนของรายละเอียดเท่านั้น แต่หากลูกค้าต้องการปรับแก้แบบร่างในส่วนของงานหลัก บริษัทหรือนักออกแบบจะทำการคิดค่าบริการเพิ่มในงานที่จะต้องทำการแก้ไขและออกแบบใหม่ทั้งหมด

5. ขั้นตอนของการกำหนดวัสดุสำหรับตกแต่งภายในทั้งหมด

เป็นขั้นตอนการกำหนดวัสดุที่จะนำมาใช้ในการตกแต่งทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณา โดยนักออกแบบจะอ้างอิงจากงานแบบร่างขั้นสุดท้ายที่ได้ผ่านการการอนุมัติมาแล้ว เพื่อจัดทำรูปแบบนำเสนอให้ลูกค้าได้ทำการพิจารณาเปรียบเทียบวัสดุ การฉลุลายเหล็ก โลหะ เพื่อการออกแบบ ซึ่งส่วนใหญ่นักออกแบบมักนำเสนองานในรูปแบบของ Material Board หรือแผ่นกำหนดวัสดุ ก่อนที่จะทำการรวมและประกอบแบบร่างเข้าด้วยกัน จากนั้นนักออกแบบจึงจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนสุดท้ายคือขั้นตอนการเขียนแบบรายละเอียดต่อไป

6. ขั้นตอนของการเขียนแบบรายละเอียด

เป็นขั้นตอนที่นักออกแบบจะเขียนแบบรายละเอียด และทำการพิมพ์แบบฉบับร่างออกมาเพื่อนำเสนอให้ลูกค้าได้พิจารณารายละเอียดทั้งหมดของงาน ซึ่งแบบรายละเอียดนี้จะต้องถูกเขียนให้ตรงตาม Material Board และแบบร่างขั้นสุดท้ายที่ผ่านการอนุมัติมาแล้ว โดยส่วนมากนักออกแบบมักใช้ระยะเวลาทำงานในขั้นตอนดังกล่าวประมาณ 15-30 วัน หลังจากนั้นจึงจะส่งแบบรายละเอียดฉบับร่างให้แก่ลูกค้า โดยที่ลูกค้าสามารถทำการแจ้งขอปรับแก้รายละเอียดในแบบกับนักออกแบบได้ และเมื่อแก้ไขแบบรายละเอียดฉบับร่างได้ตรงตามที่ต้องการแล้ว นักออกแบบจึงจะทำการพิมพ์แบบรายละเอียดฉบับจริงต่อไป

วิธีการเลือกบริษัทตกแต่งภายใน

1. ประวัติและผลงาน

ถือเป็นขั้นตอนแรกของการคัดเลือกบริษัทตกแต่งภายในที่มีความน่าเชื่อถือ ด้วยการตรวจสอบประวัติ เช่น ค้นหาชื่อบริษัทจากในอินเทอร์เน็ต หรือรีวิวลูกค้าที่เคยใช้บริการกับบริษัทนั้นๆ เพื่อประกอบการพิจารณาผลงานการก่อสร้าง โดยบริษัทที่มีน่าเชื่อถือควรมีผลงานที่สามารถเปิดเผยและตรวจสอบได้

2. มีสถานที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง

สิ่งที่จะช่วยยืนยันตัวตนและการมีอยู่จริงของบริษัท คือ การมีสำนักงานหรือที่ตั้งที่แน่นอนและชัดเจน โดยมีรูปแบบการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เผื่อในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็สามารถเข้าไปพูดคุยหรือติดต่อได้อย่างสะดวก

3. ทีมงานมีความเป็นมืออาชีพ

การมีทีมงานมืออาชีพประจำองค์กร เช่น สถาปนิก วิศวกร และทีมงานออกแบบตกแต่งภายในจะต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เพื่อให้สามารถให้คำปรึกษา ออกแบบ ดูแลลูกค้า ประสานงาน และควบคุมการก่อสร้าง พร้อมให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า

4. ขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน

มีรูปแบบขั้นตอนในการรับออกแบบตกแต่งภายในที่แน่นอน ตั้งแต่ขั้นตอนการให้คำปรึกษาและขอข้อมูล การเขียนแบบอย่างรายละเอียด ตลอดจนการออกแบบส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการตกแต่ง และการทำสัญญาเพื่อจ่ายเงิน ทางลูกค้าจะได้มั่นใจว่าทางบริษัทมีความเป็นมืออาชีพจริง และควรแจ้งให้ลูกค้าทราบทุกครั้ง เพื่อให้ได้ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง

5. มีการรับประกันผลงาน

บริษัทตกแต่งภายในที่ดีจะต้องมีการรับประกันผลงาน เพื่อให้ทางลูกค้าเกิดความมั่นใจให้กับทางบริษัทระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบริการดูแลรักษา หรือการซ่อมบำรุง หากตรวจสอบพบข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของงานที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง จะต้องมีทีมงานเข้าไปแก้ปัญหาให้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเลือกบริษัทที่มีการรับประกัน โดยสามารถติดต่อกับทางบริษัทได้ทันที ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเกี่ยวกับผลงานที่ทำมา

ทั้งนี้ เนื่องจากงานออกแบบตกแต่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของสิ่งปลูกสร้าง เมื่อมีโครงสร้าง มีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง และรูปแบบสวยงามตามการออกแบบ งานตกแต่งภายในจึงเป็นองค์ประกอบที่ทำให้สิ่งปลูกสร้างมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นั่นก็เพื่อต้องการตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่เข้ามาเลือกใช้บริการ และด้วยผลงานการออกแบบตกแต่งภายในจากทีมงานมืออาชีพที่ทางเราได้ทำการรวบรวมรายชื่อบริษัทชั้นนำในไทยมาไว้ในเว็บไซต์ เพื่อต้องการให้ลูกค้าของเราเข้ามาเลือกใช้ และหาบริษัทที่สามารถตอบโจทย์กับความต้องการ ให้มีความเป็นระเบียบลงตัวและอยากใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วภายในห้องได้อย่างคุ้มค่า และสำหรับใครที่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งแล้วนั้น การเลือกใช้บริการกับทางบริษัทตกแต่งภายในน่าจะเป็นคำตอบสำหรับคุณมากที่สุด