รถยนต์ไฟฟ้านั้น คือรถยนต์ที่ใช่แหล่งพลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน โดยชาร์ทไฟฟ้าเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ และดึงไฟฟ้าออกมาเป็นแหล่งพลังงานแทนน้ำมัน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นพลังงานทดแทนออกมาแทนน้ำมัน ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด คือ พลังงานไฟฟ้า เพราะพลังงานไฟฟ้านั้นสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ เช่น จากเขื่อน โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ พลังงานลม หรือ พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นต้น ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้ว พลังงานในอนาคตส่วนใหญ่จะเป็น พลังงานไฟฟ้า
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า
- การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้านอกจากจะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตจากฟอสซิล อย่างน้ำมันเบนซิน และดีเซล ลงแล้ว ยังจะสามารถช่วยให้สภาวะแวดล้อมของโลกดีขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่เลวร้ายลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้อีกด้วย
- มูลนิธิ เพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรป เคยดำเนินการศึกษาวิจัยเอาไว้เมื่อปี 2015 พบว่า การเปลี่ยนไปใช้รถพลังงานไฟฟ้ากันมากๆ นอกจากจะทำให้ผู้ใช้สามารถประหยัดเงินได้ 1,000 ปอนด์ หรือราว 45,000 บาทต่อปี เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
- ช่วยให้ประเทศสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลา 15 ปี
- มีผู้ขับขี่หลายรายที่ชื่นชอบและติดใจประสบการณ์ในการขับขี่รถพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะเรื่องอัตราเร่ง เนื่องจากรถไฟฟ้าให้แรงบิดได้ทันใจแทบจะในทันที ไม่จำเป็นต้องรอรอบเครื่องเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ทำให้การออกตัว เร่ง ทำได้รวดเร็ว ให้ความรู้สึก "เบา" และ "ปราดเปรียว" กว่ารถใช้น้ำมัน เป็นต้น
ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า
รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกชนิดทุกแบบ ต่างมีข้อเสียหรือจุดอ่อนที่เหมือนๆ กันอยู่หลายประการ ดังนี้
1. ข้อจำกัดของพลังงานแบตเตอรี่
ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ หรือบีอีวี เนื่องจากแบตเตอรี่มีความจุจำกัด ทำให้รถยนต์อีวีส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดวิ่งได้เป็นระยะทางไกลที่สุดไม่เกิน 100 ไมล์หรือ 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุเต็มที่ 1 ครั้ง มีเพียง "เทสลา" เท่านั้นที่ทลายข้อจำกัดดังกล่าวได้ โดยชาร์จประจุไฟฟ้า 1 ครั้งทำระยะทางได้มากกว่า 250 ไมล์ ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ผลิตแบตเตอรี่
2. ราคารถพลังงานไฟฟ้า
รถพลังงานไฟฟ้าจัดเป็นรถราคาแพงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์เทสลา โมเดล เอส ในสหรัฐอเมริการาคาอยู่ที่ 70,000 ดอลลาร์ หรือ ราว 2.4 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ซื้อยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 2-3 ปีอีกด้วย ข่าวดีก็คือ บริษัทรถยนต์หลายแห่งเริ่มวางแผนที่จะทำให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยการทำราคาให้ถูกลง ตัวอย่างเช่น บริษัท จีเอ็ม ซึ่งมีแผนจะผลิต เชฟโรเลต อิเล็กทริกรุ่นใหม่ออกมา ที่คาดว่าจะจำหน่ายได้ในราคาราว 35,000 ดอลลาร์ หรือ 1.2 ล้านบาท เป็นต้น
3. ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่
ระยะเวลาเฉลี่ยทั่วไปในการชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถพลังงานไฟฟ้าจนเต็มนั้นอยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงกับ 30 นาที ซึ่งส่งผลให้ระยะเวลาที่สะดวกที่สุดในการชาร์จก็คือตอนกลางคืนทั้งคืน แล้วนำรถไปใช้ในตอนกลางวัน หากผู้ใช้ไม่สามารถปรับการใช้งานให้สอดคล้องได้ การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในทันทีเช่นกัน ข้อนี้เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับรถใช้น้ำมันทั่วไปที่เติมน้ำมันได้เต็มถังในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
4. มีรุ่นรถให้เลือกน้อย
ถึงแม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายจะเล็งเห็นว่ารถพลังงานไฟฟ้าคืออนาคต แต่ถึงเวลานี้ยังมีผลิตกันออกมาไม่มากมายนัก และมีรุ่นให้เลือกใช้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานน้อยลงไปอีก ที่น่าสนใจก็คือ รถพลังงานไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ผลิตออกมาเป็นรถขนาดเล็ก เรื่อยไปจนถึง ไมโครคาร์ สำหรับใช้งานระยะสั้นในเมืองเท่านั้น ยังไม่มีรถประเภท ออฟโรด ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ สปอร์ตคาร์ ที่เป็นรถไฮบริดคันเดียวของฮอนด้า (คือ ฮอนด้า ซีอาร์-เเซด) ก็ยุติการผลิตไปแล้ว
5. สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า
สถานีชาร์จประจุไฟฟ้ามีน้อย หรือมีจำกัดเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียง แต่เมื่อออกนอกเมืองหรือเดินทางไกลกลับไม่มี จนกลายเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าในเวลานี้
ที่มา: www.thairentecocar.com